MAMA

มาม่า เป็นยี่ห้อ และเครื่องหมายการค้าของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผลิตโดยบริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด(มหาชน)และจัดจำหน่ายโดยบริษัท สหพันพิบูล จำกัด



















ประวัติความเป็นมาของมาม่า ^^







มาม่าได้มีการผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ. 2516 แม่ว่าจะมีบะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้ออื่นอีกในตลาดของประเทศไทย เช่น ยำยำ ไวไว กุ๊งกิ๊ง และอื่น ๆ อีกมากมาย คำว่า "มาม่า"ได้กลายเป็นชื่อที่ติดปากของคนไทยในการกล่าวถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนทำให้เป็นที่รู้จักในการรับประทานอาหารประเภทนี้ชื่อมักจะเป็นที่ติดปาก เช่น บางคนเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้ออื่นว่า "มาม่า" กันมาโดยตลอด



















ผลิตภัณฑ์



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำกุ้ง



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำน้ำข้น



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสต้มยำเส้นชาเขียว



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสเป็ดพะโล้



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสผัดขี้เมาแห้ง



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รสหมูน้ำตก



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ออเรียนทัลคิตเซน รสโคเรียน สไปซ์



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ออเรียนทัลคิตเซน รสฮอตแอนด์สไปซี่



บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ออเรียนทัลคิตเซน รสหมี่โกเล้ง



บะหมี่มาม่าเจ รสต้มยำ



บะหมี่มาม่าเจ รสเต้าหู้เห็ดหอม



บะหมี่มาม่าเย็นตาโฟ



บะหมี่มาม่าหมูต้มยำ



บะหมี่โฮลวีตกึ่งสำเร็จรูป รสหมูพริกไทยดำ











และเพื่อน ๆ เคยสงสัยกันไหมครับว่า.. ไอเจ้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เรากิน ๆ กันตั้งแต่เล็กจนโตมาเนี่ มันมีที่มาที่ไปยังไง.. ทำไมมันมีหลากหลายยี่ห้อจัง















@ การเดินทางของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากญี่ปุ่นสู่ไทยแลนด์ @







บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีต้นกำเนิดมาจาก ประเทศญี่ปุ่น โดยนายอันโด โมโมฟุกุ ผู้ก่อตั้งและประทานกลุ่มบริษัท นิชชิน ประมาณปี 1958 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นประสบกับปัญหาข้าวยากหมากแพง ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องทานแต่อาหารที่ราคาถูก และสะดวกในการทำ หรือหาทาน ซึ่งก็คือ ราเมน ทำให้นาย อันโด ได้พยายามคิดค้น ราเมนที่ สามารถทำทานเองที่บ้าน เก็บไว้ได้นาน และราคาถูก ขึ้นมา จนในที่สุดก็ได้ "ชิกิ้นราเมน" ขึ้นมา สำหรับประเทศไทย บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้เข้ามาราวปี พ.ศ.2514-2515 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อแรกในประเทศคือ "ซันวา"(แต่เราได้ยินชื่อมาม่าจนติดปากได้ยินทีไรนึกภาพออกว่าเป็นรูปร่างหน้าตาแบบไหน เราเลยเอา Brand มาม่า อิอิ) ที่มีต้นแบบมาจากบะหมี่ญี่ปุ่นที่ต้องต้มทานก่อน















จากปัจจัยและหลาย ๆ เหตุผลที่เราเลือกแบรนด์นี้ขึ้นมาทำการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ อันเนื่องมากจาก "มาม่า" เป็นแบรนด์ที่ติดปากของทุก ๆ วัย และของทุก ๆ อาชีพ เพศ อายุ การศึกษา ฯลฯ ทั้งหมดนั้นมักจะเรียกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไม่ว่าจะมียี่ห้อใดก็ตามมักจะเรียกว่า "มาม่า" กันจนติดปากกันมาจำนวนมาก







จากที่เราได้ศึกษาข้อมูลและค้นคว้ามานั้นได้ทราบว่า "มาม่า" จะเป็นแบรนด์ที่มีคุณค่าหรือไม่อย่างไร? (Brand Equity) จากนั้นเราจึงนำทฤษฎีของท่าน เดวิด เอ เอคเคอร์ (David A Aaker) มาประกอบกับการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้และจากการศึกษาไปแล้วมีดังนี้ครับ ...











Brand Loyalty







มาม่าได้ทำกิจกรรมการตลาดที่ใช้รูปแบบการสื่อสารแบบครบวงจรเข้ามาเป็นธีมในการทำตลาดเพื่อสร้างฐาน Brand Loyalty ของตัวเอง ไล่ตั้งแต่ การจัดกิจกรรมการตลาดพุ่งชนเป้าหมายรากหญ้าในต่างจังหวัดทั่วประเทศซึ่งมาม่ายังคงยึดสูตรสำเร็จของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น นั่นคือ การจัดชิงโชคทองจากซองมาม่า ซึ่งเป็นกลยุทธ์การส่งเสริมการขายที่สร้างฐานให้กับมาม่าอย่างเหนียวแน่นมานาน โดยปีนี้มาม่ามีการแจกโชคทองหนักถึง 300 บาทผ่านทางรายการชิงร้อยชิงล้านในลักษณะชองการ In Program พร้อมทั้งมีการออกสินค้าที่เป็น Sub Brand คือไวไวควิก มารองรับกับกลุ่มเป้าหมายนี้โดยตรง ไวไว ควิก ประสบความสำเร็จอย่างมาก ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันให้ส่วนแบ่งการตลาดของไวไวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว







ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มีอัตราการเติบโต 9% มีมูลค่าตลาดประมาณ 9,000 ล้านบาท บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใน Cetegory รสจัดจะมีส่วนสูงถึงกว่า 50% และทางนี้เองมาม่ายังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 58.8% ไวไวตามาเป็นที่ 2 มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ในมือ 22.6% ส่วนยำยำที่มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 11.6% ปีที่ผ่านมา ไวไวทำส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 22.6% ขณะที่มาม่าส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 61% เหลือ 58.8% ส่วนยำยำส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 12% gs]nv 11.6%







สิ่งที่มาม่าจะต้องทำก็คือ การทลายกำแพง Generic Name ของมาม่าให้ได้ และการที่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องมีการสร้างฐานกับกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ ๆ รวมถึงลูกค้า เด็ก ๆ ที่มี Loyalty ที่มีกับมาม่าไม่สูงนัก นอกจากนี้ "มาม่า" แสดงให้เห็นว่าลูกค้าที่มี Loyalty กับ มาม่านั้นสูงให้เห็นเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากพอจนเป็นผู้นำการตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของไทย ..

Brand Awareness

และจากที่ทราบกันไปแล้วว่า Loyalty ของมาม่านั้นมากมายล้นท้นออกมาเป็นตัวเลขให้ได้เห็นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ต่อมาจะเป็นการตระหนักในตราสินค้าของ "มาม่า" กันนะครับ ผู้บริโภคกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นจากที่อาหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเป็นที่ติดปากในการกล่าวขานกันไม่พ้นจะเป็นแบรนด์ "มาม่า" ผุ้บริโภคส่วนใหญ่ของ 98% หรือเกือบ 100% เป็นที่ว่ากันได้เลยนะ อิอิ ต่างรู้จักแบรนด์ "มาม่า" กันมากเลยทีเดียว และยังเข้าไปอยู่ใน Top of Mind ของผู้บริโภค เพราะจากการที่แบรนด์มาม่าเป็นชื่อ Generic Name ของอาหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่ากันว่าไปไหนมาไหน จะไปซื้อยี่ห้อไหนมาก็ต้องเรียกมาม่าก่อน 55+ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เป็นเช่นนี้ และเรามาดู Top of Mind กันดีกว่าครับว่า "มาม่า"จะเป็นอย่างไร

Top of Mind Brand Awareness ปี 2006

มาม่า 78%

ไวไว 10%

ไวไวควิก 8%

ยำยำ 3%

อ้างอิง http://www.mama.co.th/

จากที่ได้เห็นกันแล้วว่าแบรนด์มาม่าได้เกิดการสื่อสารและตอกย้ำความทรงจำของผุ้บริโภคได้มากที่สุด และการทำการสื่อสารแบบครบวงจรเป็น 360 องศา การเปิดตัวรสชาติใหม่ ๆ การทำกิจกรรมเพื่อสังคม การคืนกำไรให้แก่ผู้บริโภค การจัด Event ฯลฯ และจากการที่ผู้บริโภครู้จักเรื่องราวที่เค้าได้สัมผัส Touch Point/ Touch Contact ของผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ได้ชื่อว่า "มาม่า" เห็นเส้นหยิก ๆ รวมไปถึงกลิ่น ฯลฯ นั่นก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีการตระหนักรู้เกี่ยวกับแบรนด์ของเรา.

Perceived Quaility

เป็นหนึ่งคู่สังคมไทย โดยเป็นผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ครอง ส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด ภายใต้แนวคิด "เพราะเราไม่หยุดนิ่ง เราจึงก้าวหน้า

เพราะไม่หยุดนิ่ง เราจึงก้าวไกล

เพราะไม่หยุดยั้ง เราจึงเป็นผู้นำ

และเพราะเราใส่ใจในสิ่งแวดล้อม เราจึง...เป็นหนึ่งคู่สังคมไทย"

การรับรู้ในคุณภาพของตราสินค้า หรือ Perceived Brand Quality ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณ ก็รู้กันดีว่ายี่ห้อ"มาม่า"อัดคุณภาพมาเต็มห่อ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพคุณสมบัติพื้นฐานของอาหารสำเร็จรูป คือ สะดวก ง่าย อร่อย ฯลฯ ที่มียอดขายมากและเป็นที่รู้จักเป็นที่นิยมมากที่สุดของทุกๆ ยี่ห้อในจำพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ประกันการันตีให้ผู้บริโภคทั่วไปทราบกันไปแล้วแถมยังเป้นชื่อที่ติดหูกันมาอย่างเนิ่นนาน จนบริโภคส่วนใหญ่ต่างรู้จักในเรื่องในใจสิ่งแวดล้อม การคืนกำไรให้กับผู้บริโภคโดยการชิงโชค องค์ประกอบที่ใส่ใจสิ่งแวดล้มและการคืนกำไรให้กับผู้บริโภคนี้นับว่าสำคัญมากๆ และต่อถ้าจะออกแบบ กำหนดจุดยืน สินค้าดีขนาดไหน ถ้าของคุณภาพการรับรู้เกี่ยวกับตราสินค้ารับรู้คุณค่าต่างๆ ของสิ้นค้าไปในทางที่ไม่ดีก็อยู่ในตลาดไม่ได้นานครับ...อิอิ

Associations

การเชื่อมโยงได้กับตราสินค้านั้น ๆ กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัตรของ"มาม่า"บริษัทผู้ผลิตบุคลิกภาพของ"มาม่า" และจากที่มาม่าพยายามเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ ในสังคมผู้บริโภคให้เข้ามาข้องเกี่ยวกับสินค้าของมาม่า ทำให้ตรายี่ห้อ "มาม่า"ยิ่งแข็งแกร่ง เพราะไม่ว่าผู้บริโภคจะหาซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็จะนึกถึง "มาม่า" เป็นอันดับแรกและนอกจากนั้นมาม่ายังไปเชื่อมโยงกับกระแสต่างๆ เทรนด์ใหม่ๆ ที่กำลังมาแรง เช่น พยายามสร้าง Sub Brand อย่าง ไวไว ขั้นมาเพื่อให้เกิดทันสมัยจนมาถึง ไวไวควิก เพื่อให้เข้ากับผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ทันสมัยในปัจจุบัน

IP Protections







ด้านความคุ้มครองคุณค่าแบรนด์ผ่านกฏหมาย แบรนด์มาม่า บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ในเครือสหพันพิบูล จำกัด(มหาชน) ซึ่งเข้าหุ้นตลาดหลักทรัพย์เป็นที่เรียบร้อย ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมาม่า ไม่ว่าจะเป็น สูตรเครื่องปรุง ชื่อ ฯลฯ ได้ถูกคุ้มครองทางกฎหมายโดยกรณีได้มีการละเมิดข้อกำหนดต่างๆ ที่บริษัททำไว้แล้ว มาม่าได้มีการติดต่อสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรกับต่างประเทศได้จดทะเบียนคุ้มครองการละเมิดไว้หมดแล้ว ทั้งนอกและในประเทศ







ทั้งนี้ประโยชน์และคุณค่าในการศึกษามาทั้งหมดแล้ว แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จอันเนื่องมาจากการศึกษาเพื่อประโยชน์ต่อแบรนด์นั้น ๆมาจากการศึกษาผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งโดยจะทำให้แบรนด์หรือองค์กรประสบความสำเร็จในด้านที่คาดหมายที่คิดไว้ แบรนด์ที่ดีนั้นไม่ใช่แค่ยอดขายสูงหรือคุณค่าสูงเท่านั้นแต่แบรนด์ที๋ดีจะต้องเข้าถึงผุ้บริโภคและเข้าใจผู้บริโภคตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จะสามารถทำให้เป็นที่จดจำในใจของผู้บริโภคที่จะผูกพันธ์และบอกต่อแบรนด์เราให้ได้มากที่สุด